บริษัทฯ เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภท ผ่านรูปแบบ และช่องทางที่หลากหลาย (Multi-Format and Multi-Category) ในประเทศไทย และมีีการขยายธุุรกิิจในต่่างประเทศ โดยเป็นผู้นำในอิตาลี และเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังเป็นผู้บุกเบิกธุุรกิิจค้้าปลีีก ในรููปแบบ Omnichannel ในประเทศไทย ซึ่งช่่วยเสริิมเครืือข่่ายร้้านค้้าปลีีกและค้าส่งของกลุ่มบริษัทฯ ในการนำเสนอสิินค้้าและบริิการแก่่ผู้บริโภค โดยเบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดนั้น มีชื่อของ “เซ็นทรัล” ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพอยู่ด้วยเสมอ ด้วยการยึดหลักการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง จึงสามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยมาอย่างยาวนานมากกว่า 76 ปี
บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตและความเป็นเลิศทางธุรกิจอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ “CRC OMNI-Intelligence” ซึ่งประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ (5R) ดังต่อไปนี้
- Revolutionise Core Strengths คือ การยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักใน Multi-Format, Multi-Category และ Multi-Market โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการยกระดับเรื่อง Synergy และการทำ M&A เพื่อเพิ่ม Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจ
- Reinforce Financial Resilience คือ การทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงิน บนหลักการบริหาร 3C (Cash, Cost, Capex)
- Reinvent Beyond Retail คือ การต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก เช่น การเข้าไปเป็นส่วนสำคัญใน Community ต่างๆ ในแต่ละ Category เพื่อสร้าง Network และ Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงการขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้า Scale up อย่างต่อเนื่อง
- Reimagine Human Capital คือ การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ด้วยการรวมIntelligence ของ AI และ HI เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม Omnichannel แบบทวีคูณ
- Rally Green Impact คือ การยกระดับการทำ Green Transition ด้วยการผนึกกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ มาร่วมมือกันแก้ปัญหา Climate Change เพื่อไม่ให้ไปสู่ Climate Crisis โดยการลดการใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียว เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง
ทั้งนี้ เซ็นทรัล รีเทลมุ่งมั่นปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพในทุกหน่วยงาน พร้อมทั้งการบริหารจัดการความเสี่ยงให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมถึงการบริหารต้นทุน และค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจทั้งหมดไปในทิศทางที่จะขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความยังยืน (ESG)
ข้อได้เปรียบในการแข่่งขัันของบริษัทฯ ได้แก่
- ความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจค้าปลีกผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย โดยมีแบรนด์ค้าปลีกและการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม Omnichannel สำหรับสินค้าหลากหลายประเภท
- การทำธุรกิจโดยมุ่งเน้นลููกค้าเป็นศูนย์กลาง ช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนในการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า
- ระบบนิเวศทางธุรกิจที่หลากหลายของบริษัทฯ ช่วยดึงดูดแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียง ขับเคลื่อนการผนึกกำลังทางธุรกิจ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าต่อบริษัทฯ
- ความสำเร็จในการเข้าซือกิจการ และการขยายธุรกิจไปยั้งประเทศในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นในอดีต
- ทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของผู้บริหารมืออาชีพในอุตสาหกรรมค้าปลีกและครอบครัวจิราธิวัฒน์
ปัจจุบัน บริษัทฯ ประกอบธุรกิจภายใต้แบรนด์ค้าปลีกหลากหลายแบรนด์ โดยมีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่ง 3,762 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์ค้าส่ง, พลาซ่า เฮลธ์ แอนด์ เวลเนส และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel โดยธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมทั้งหมด 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปตาม มินิซูเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่งต่าง ๆ เช่น ท็อปส์ ท็อปส์ ฟู้ดฮอลล์ ท็อปส์ ไฟน์ ฟู้ด ท็อปส์ เดลี่(รวมถึงร้านแฟมิลี่มาร์ท ที่ได้ทำการปรับเปลี่ยนแบรนด์ เป็น “ท็อปส์เดลี่” แล้วทั้งหมด) โก โฮลเซลล์ และ ในประเทศเวียดนาม อาทิ บิ๊กซี / GO! และ ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม มินิ โก (go!) เวียดนาม ลานชี มาร์ท
- กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ บีเอ็นบีโฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ เหงียนคิม เวียดนาม
- กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต Brandshop ต่าง ๆ
- กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้าของบริษัทฯ รวมถึงร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า และบิ๊กซี / GO! เวียดนาม
- กลุ่มเฮลธ์ แอนด์ เวลเนส ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าในหมวดการดูแลสุขภาพและความงาม รวมทั้งสินค้าในกลุ่มดูแลสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ค้าปลีก เช่น ท็อปส์ แคร์ ท็อปส์ วีต้า และ เพ็ท แอนด์ มี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ในประเทศไทย ซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั้งหมด 60 จังหวัด ในประเทศเวียดนามทั้งหมด 42 จังหวัด และในประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567)
ในปี 2567 บริษัทฯ ได้มีการขยายสาขาและปรับปรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในทั้ง 3 ประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ ในส่วนของประเทศไทย บริษัทฯ มีการเปิดสาขาใหม่ อาทิ ห้างสรรพสินค้า 2 สาขา ไทวัสดุ 7 สาขา รวมทั้งสาขาของกลุ่มฟู้ด อาทิ ท็อปส์ และ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ และ ) โก โฮลเซลล์ ส่วนของประเทศเวียดนามมีแผนที่จะเปิด ศูนย์การค้า GO! 3 สาขา รวมถึง มินิโก! นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ได้เปิดร้านค้าเฉพาะทาง (Specialty Store) รวมทั้ง Brandshop ต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ด้านการปรับปรุงสาขาหรือปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ (Renovation & Rebranding) ในส่วนของประเทศไทย บริษัทฯ ได้ปรับปรุงสาขาของศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ และ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้ปรับปรุงร้านค้าขนาดเล็กอื่นๆ ด้วย สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้ Rebrand และปรับปรุงสาขา Big C เป็น GO! mall และ GO! hypermarket สำหรับประเทศอิตาลี บริษัทฯ ได้ปรับปรุงห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง
ณ 31 มีนาคม 2567 บริษัทฯ มีพื้นที่ขายจำนวน 3.6 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีพื้นที่เช่าจำนวน 0.7 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริิษััทฯ ในการปรัับตััวเข้้ากัับความต้้องการที่หลากหลายของลููกค้้า บริิษััทฯ จึึงได้้พััฒนาแพลตฟอร์์ม Omnichannel อย่างต่อเนื่อง โดยมีีเป้าหมายที่จะผสานประสบการณ์์ในการเลืือกซื้อสิินค้้าทางออนไลน์์ให้้เข้้ากัับการเลืือกซื้อสิินค้้าในร้้านค้้าได้้อย่่างไร้้รอยต่่อ โดยร้้านค้้าในเครืือข่่ายของบริิษััทฯ ได้้ผสมผสานรููปแบบการจำหน่ายสิินค้้าในร้้านค้้าผ่่านพนัักงานขายเข้้ากัับช่่องทางการซื้อสิินค้้าออนไลน์์ และสร้้างจุุดเชื่อมโยงกัับลููกค้้าผ่านบริิการต่่าง ๆ เช่่น บริิการ Personal Shopper และบริิการ Call & Shop บริิการ Click & Collect บริิการ Reserve & Collect บริิการ Chat & Shop บริิการ e-Ordering และบริิการ Shop & Drive Thru เป็นต้น
ท่านสามารถดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ https://www.centralretail.com/th/investor-relations/shareholders-information/major-shareholders
ณ วันที่ 26 มีนาคม 2567 บริษัทฯ มี Free float ประมาณร้อยละ 57.77
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม ภายหลังจากหักภาษี และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาทางการเงิน (ถ้ามี)
ท่านสามารถติดต่อฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ โทรศัพท์ +662 650 3600 #1563-1564 หรือทางอีมล: ir@central.co.th. นอกจากนี้ ท่านสามารถติดตามเอกสารนำเสนอและเว็บแคสต์ของกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ได้ที่ https://www.centralretail.com/th/investor-relations/document/presentations