บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ” หรือ “เซ็นทรัล รีเทล”) เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งธุรกิจค้าส่ง สินค้าหลากหลายประเภท ผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-Format Multi-Category Omnichannel Retail และ Wholesale Platform) ในประเทศไทย ประเทศอิตาลี และประเทศเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Omnichannel ในประเทศไทย ซึ่งช่วยเสริมเครือข่ายร้านค้าปลีกของบริษัทฯ ในการนำเสนอสินค้าและบริการแก่ผู้บริโภค ทั้งนี้การทำธุรกิจที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางในประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 77 ปี ภายใต้ แบรนด์ “เซ็นทรัล” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเลิศ และ ช่วยหลอมรวมและส่งเสริมแบรนด์ค้าปลีกที่หลากหลายของบริษัทฯ ให้มีตำแหน่งทางการตลาดในระดับแนวหน้าและครอบคลุมกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่เป็นที่นิยมอย่างหลากหลาย อนึ่ง บริษัทฯ ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ และชื่อทางการค้า “เซ็นทรัล” และ “Central” จากกลุ่มเซ็นทรัลในการประกอบธุรกิจค้าปลีกของบริษัทฯ ภายใต้เงื่อนไข และชื่อกำหนดของสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ เชื่อว่าบริษัทฯ มีส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนารูปแบบการดำเนินชีวิต และพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยนำเสนอรูปแบบการค้าปลีกที่แปลกใหม่ให้แก่ลูกค้าเสมอมา ซึ่งรวมถึงห้างสรรพสินค้า ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง ซูเปอร์มาร์เก็ต มินิซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอรมาร์เก็ต ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร และพลาซ่า
บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยในปี 2567 ได้ประกาศวิสัยทัศน์ "CRC OMNI-Intelligence" ประกอบไปด้วยกลยุทธ์ 5R ซึ่งเป็นแผนงานสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีกลยุทธ์ดังต่อไปนี้
- Revolutionise Core Strengths คือ การยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักในหลากหลายรูปแบบ (Multi-Format Multi-Category และ Multi-Market) โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการยกระดับเรื่อง Synergy และการควบรวมกิจการ การเข้าซื้อกิจการ รวมถึงการร่วมทุนเพื่อการเติบโตในอนาคตในระยะยาว
- Reinforce Financial Resilience คือ การทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงินบนหลักการบริหาร 3C (Cash Cost Capex) โดยบริษัทฯ เชื่อว่าการมีสถานะการเงินที่มั่นคงจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และลดผลกระทบหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
- Reinvent Beyond Retail คือ การต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก เช่น การเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในชุมชนต่าง ๆ ในแต่ละหมวดหมู่สินค้าเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ และมูลค่าในระยะยาวให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงการขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้าเร่งขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
- Reimagine Human Capital คือ การพัฒนาศักยภาพของพนักงาน โดยการผสมผสานความชาญฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และปัญญามนุษย์ (Human Intelligence) เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม Omnichannel ให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
- Rally Green Impact คือ การยกระดับสู่การใช้พลังงานสีเขียว (Green Transition) ด้วยการผนึกกำลังจากภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เพื่อไม่ให้ไปสู่การเกิดวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม (Climate Crisis) โดยการลดการใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียวที่ยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง
โดยทั้ง 5 กลยุทธ์นี้ เป็นกลยุทธ์ที่นำมาขับเคลื่อนองค์กรโดยยึดหลักการเป็นศูนย์กลางชีวิตของผู้คน (Central to Life) เพื่อสร้าง ความเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งกลุ่มธุรกิจฯ ให้ความสำคัญต่อทุกภาคส่วนและการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในส่วนของการดำเนินงานและขยายธุรกิจ รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และคุณธรรมในการประกอบกิจการที่ดี เพื่อนำพาให้ทั้งพนักงาน องค์กร คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อม ในทุกภาคส่วนได้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน
บริษัทฯ มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญหลายประการที่ช่วยให้บริษัทฯบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ดังต่อไปนี้
- ความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจค้าปลีกผ่านรูปแบบ และช่องทางที่หลากหลาย โดยมีแบรนด์ค้าปลีกและการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม Omnichannel สำหรับสินค้าหลากหลายประเภท
- การทำธุรกิจโดยมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ถือเป็นแรงขับเคลื่อนในการนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลููกค้า
- ระบบนิเวศทางธุรกิจที่หลากหลายของกลุ่มบริษัทฯ ช่วยดึงดูดแบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียง ขับเคลื่อนการผนึกกำลังทางธุรกิจ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าต่อกลุ่มบริษัทฯ
- ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการและการขยายธุรกิจ ไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นในอดีต
- ทีมผู้บริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวของผู้บริหารมืออาชีพ ในอุตสาหกรรมค้าปลีกและค้าส่ง และครอบครัวจิราธิวัฒน์
ปัจจุบัน บริษัทฯ ประกอบธุรกิจภายใต้แบรนด์ค้าปลีกหลากหลายแบรนด์ โดยมีเครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่ง 3,852 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, แบรนด์ชอป, ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร, ไฮเปอร์มาร์เก็ต,ซูเปอร์มาร์เก็ต, มินิ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ศูนย์การค้า และ เฮลธ์ แอนด์ เวลเนส และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel โดยธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมทั้งหมด 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่
- กลุ่มฟู้ด ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปตามศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกและค้าส่งต่าง ๆ เช่น ท็อปส์ ท็อปส์ ฟู้ดฮอลล์ ท็อปส์ ไฟน์ ฟู้ด ท็อปส์ เดลี่ โก โฮลเซลล์ ในประเทศไทย ส่วนประเทศเวียดนาม ได้แก่ บิ๊กซี/ โก (GO!) ท็อปส์ มาร์เก็ต มินิ โก (go!) และ ลานชี มาร์ท
- กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ ในประเทศไทย และ เหงียนคิม ประเทศเวียดนาม
- กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต (อิตาลี) ซูเปอร์สปอร์ต Brandshop ต่าง ๆ
- กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้าของบริษัทฯ รวมถึงร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า ในประเทศไทย และบิ๊กซี / โก (GO!) ประเทศเวียดนาม
- กลุ่มเฮลธ์ แอนด์ เวลเนส ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าในหมวดการดูแลสุขภาพและความงาม รวมทั้งสินค้าในกลุ่มดูแลสัตว์เลี้ยง ภายใต้แบรนด์ค้าปลีก เช่น ท็อปส์ แคร์ ท็อปส์ วีต้า และ เพ็ท แอนด์ มี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ในประเทศไทย ซึ่งมีสาขาครอบคลุมทั้งหมด 62 จังหวัด ในประเทศเวียดนามทั้งหมด 43 จังหวัด และในประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)
ในปี 2568 บริษัทฯ ได้มีการขยายสาขาและปรับปรุงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในทั้ง 3 ประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจ ในส่วนของประเทศไทย บริษัทฯ มีการเปิดสาขาใหม่ อาทิ ไทวัสดุ 4 สาขา โกโฮลเซลล์ (GO wholesale) 4 สาขา รวมทั้งสาขาของกลุ่มฟู้ด อาทิ ท็อปส์ และ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ 10 สาขา ส่วนของประเทศเวียดนามมีแผนที่จะเปิด GO! mall และ GO! hypers 2 สาขา และ มินิโก! (go!)! 3 สาขา นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ได้เปิดร้านค้าเฉพาะทาง (Specialty Store) รวมทั้ง Brandshop ต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ด้านการปรับปรุงสาขาหรือปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ (Renovation & Rebranding) ในส่วนของประเทศไทย บริษัทฯ มีแผนการปรับปรุงสาขาของศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน รวมทั้งการรีแบรนด์ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาบางรัก ให้เป็นห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล อีกทั้งได้ปรับปรุงร้านค้าขนาดเล็กอื่นๆ ด้วย สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้ทำการปรับปรุงศูนย์การค้า โก (GO!) 2 สาขา คือ สาขา Thang Long และ สาขา Dong Nai สำหรับประเทศอิตาลี มีแผนขยายพื้นที่ Beauty Hall เพิ่มเติมบนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็น Beauty Hall ที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2570
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ มีพื้นที่ขายจำนวน 3.7 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีพื้นที่เช่าจำนวน 0.7 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า บริษัทฯ จึงพัฒนาแพลตฟอร์ม Omnichannel อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการผสานประสบการณ์การเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์เข้ากับการช้อปปิ้งในร้านค้าได้อย่างไร้รอยต่อ ร้านค้าในเครือข่ายของบริษัทฯ ได้ผสมผสานการขายสินค้าผ่านพนักงานในร้านเข้ากับช่องทางออนไลน์ พร้อมสร้างจุดเชื่อมโยงกับลูกค้าผ่านบริการต่าง ๆ เช่น Personal Shopper, Call & Shop, Click & Collect, Reserve & Collect, Chat & Shop, e-Ordering และ Shop & Drive Thru เป็นต้น
ท่านสามารถดูรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้ที่ https://www.centralretail.com/en/investor-relations/shareholders-information/major-shareholders
ณ วันที่ 26 มีนาคม 2567บริษัทฯ มี Free float ประมาณร้อยละ 57.8
บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม ภายหลังจากหักภาษี และการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาทางการเงิน (ถ้ามี)
ท่านสามารถติดต่อฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ โทรศัพท์ +662 650 3600 หรือทางอีเมล: ir@central.co.th. นอกจากนี้ ท่านสามารถติดตามเอกสารนำเสนอและเว็บแคสต์ของกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ได้ที่ https://www.centralretail.com/en/investor-relations/document/presentations